ในวันที่ 3 มิถุนายน 2567 ผู้เสียหายได้พบเพจเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า “บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น” ขึ้นมาในหน้าฟีดเฟซบุ๊ก โดยที่ผู้เสียหายไม่ได้เป็นเพื่อนกับเพจดังกล่าว เพจนี้มีลักษณะเป็นเพจสาธารณะ สามารถเข้าถึงได้ทุกคน โดยเพจใช้รูปโปรไฟล์ของนายวิกรม กรมดิษฐ์ บุคคลที่มีชื่อเสียงในวงการธุรกิจและเป็นที่น่าเชื่อถือ ในโพสต์ที่ผู้เสียหายพบเห็นมีการเชิญชวนผู้สูงอายุให้เข้าร่วมโครงการออมเงินเพื่อเกษียณ โดยโฆษณาว่าการออมเงินกับบริษัทนี้จะได้รับผลตอบแทนที่มั่นคงและมีความปลอดภัยสูง ทำให้ผู้เสียหายสนใจและคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม หลังจากนั้น ทางเพจได้แนะนำว่านายกระทรวง จารุศิระ จะเป็นผู้ติดต่อเพิ่มเติมเพื่อลงรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุน
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้เสียหายได้รับข้อความจากบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นนายกระทรวง จารุศิระ ซึ่งระบุว่าเป็นโบรกเกอร์ของบริษัทอมตะคอร์ปอเรชั่น โดยนายกระทรวงเริ่มการสนทนาผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนที่จะขอให้ผู้เสียหายย้ายการติดต่อไปยังแอปพลิเคชันไลน์เพื่อสะดวกในการสื่อสาร เมื่อการสนทนาย้ายไปที่ไลน์ นายกระทรวงเริ่มต้นอธิบายเกี่ยวกับโครงการออมเงินและแนะนำการลงทุนในหุ้นระยะสั้น โดยอ้างว่าจะทำกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้น พร้อมทั้งยืนยันว่าการลงทุนนี้มีความปลอดภัยสูงเนื่องจากบริษัทอมตะคอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีความมั่นคง ทำให้ผู้เสียหายเชื่อถือและเริ่มต้นลงทุน
นายกระทรวงแนะนำให้ผู้เสียหายเริ่มต้นการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่ไม่มากนักเพื่อทดสอบระบบ และหากได้รับผลตอบแทนดีก็สามารถเพิ่มยอดเงินลงทุนเพื่อทำกำไรเพิ่มขึ้น ผู้เสียหายซึ่งไม่มีประสบการณ์ในการลงทุนมาก่อน รู้สึกว่าโครงการนี้เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้เสริมในอนาคต จึงตัดสินใจโอนเงินตามคำแนะนำ นายกระทรวงยังเน้นย้ำว่าการลงทุนนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณ และเป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการความปลอดภัยในทรัพย์สินของตนเอง
หลังจากผู้เสียหายยินยอมที่จะลงทุน นายกระทรวงแนะนำขั้นตอนการโอนเงิน โดยให้ผู้เสียหายทักไลน์ไปหา “พนักงานบัญชีกลาง” ซึ่งจะเป็นผู้ส่งเลขบัญชีที่ใช้โอนเงินไปยังแพลตฟอร์มการลงทุน ผู้เสียหายต้องส่งสลิปการโอนเงินให้ทั้งนายกระทรวงและบัญชีพนักงานบัญชีกลาง หลังจากนั้นนายกระทรวงจะส่งลิงก์เว็บไซต์ Amata-thaih.com ที่อ้างว่าเป็นแพลตฟอร์มการลงทุน พร้อมกับรหัสเข้าสู่ระบบให้ผู้เสียหาย ซึ่งเมื่อเข้าไปตรวจสอบ ผู้เสียหายพบว่าในพอร์ตการลงทุนมีเงินเพิ่มขึ้นจริงตามจำนวนเงินที่โอนเข้าไปในระบบ ทำให้เชื่อมั่นและลงทุนต่อเนื่อง
ต่อมา ผู้เสียหายทำการโอนเงินหลายครั้งตามคำแนะนำของนายกระทรวง ซึ่งรวมถึงการชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมโบรกเกอร์ ค่าภาษีซื้อขายหุ้น ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ และค่าปลดล็อกระบบถอน โดยนายกระทรวงยืนยันว่าหากชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ครบถ้วนแล้ว จะสามารถถอนเงินออกจากพอร์ตการลงทุนได้ทั้งหมด แต่สุดท้ายผู้เสียหายกลับไม่สามารถถอนเงินได้และพบว่าถูกหลอกลวง
ผู้เสียหายได้ทำการโอนเงินทั้งหมด 16 ครั้ง รวมเป็นเงินจำนวน 9,247,569.37 บาท โดยมีการโอนเงินไปยังหลายบัญชีธนาคารที่นายกระทรวงแจ้งผ่านพนักงานบัญชีกลาง ทุกครั้งที่โอนเงิน ผู้เสียหายจะส่งสลิปยืนยันการโอนให้ทั้งนายกระทรวงและพนักงานบัญชีกลาง ทั้งนี้ ผู้เสียหายเชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะนำไปสู่ผลตอบแทนที่สูง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้เสียหายพบว่าไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ และไม่สามารถถอนเงินได้ จึงได้ตระหนักว่าตนถูกหลอกลวง และได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้สืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและดำเนินคดีต่อไป