กลอุบายฉ้อฉลมิตรภาพจอมปลอม หลอกลวงลงทุนออนไลน์ผ่านความเชื่อใจ

ผู้เสียหายถูกหลอกให้ร่วมลงทุนในแพลตฟอร์มเทรดหุ้นปลอม โดยเริ่มจากผู้ต้องหาใช้ชื่อในเฟซบุ๊กว่า “เอก ธนพล” ส่งคำขอเป็นเพื่อนมาในเดือนตุลาคม 2566 ผู้เสียหายตอบรับคำขอนี้ไว้โดยไม่ได้สนทนาอะไรจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2566 จากนั้นบุคคลดังกล่าวได้เริ่มส่งข้อความทักทายเข้ามา ทำให้ทั้งสองเริ่มพูดคุยและรู้จักกันมากขึ้นจนผู้เสียหายเริ่มมีความเชื่อใจ ผู้ต้องหาจึงขอไอดีไลน์เพื่อที่จะได้พูดคุยสะดวกขึ้น ผ่านบัญชีไลน์ชื่อ “AekXai” ซึ่งอ้างว่าชื่อจริงว่า “นายเอก”

ภายในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา นายเอกได้ใช้วิธีพูดหว่านล้อมและนำเสนอว่าตนเองกำลังทำกำไรได้จากการลงทุนในแพลตฟอร์มการเทรดหุ้นออนไลน์ที่มีผลตอบแทนสูง พร้อมทั้งโน้มน้าวให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน โดยอ้างว่าหากลงทุนเงินเพิ่มจำนวนสูงขึ้นจะได้ผลตอบแทนที่ดีมากยิ่งขึ้น ข้อความเหล่านี้ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและเห็นโอกาสในการได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่คุ้มค่าและเชื่อใจนายเอกอย่างเต็มที่

ดังนั้น ผู้เสียหายได้ทำการโอนเงินตามคำขอของนายเอกทั้งหมด 5 ครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 1,278,020 บาท รายละเอียดการโอนแต่ละครั้งมีดังนี้ :

  • ครั้งที่ 1: วันที่ 7 มกราคม 2567 นายเอกได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายโอนเงินครั้งแรกจำนวน 295,020 บาท โดยให้โอนจากบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของผู้เสียหาย ไปยังบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยาของนาย “นัธทวัฒน์ แสนฤทธิ์” ผู้เสียหายได้รับสลิปปลอมจากนายเอกที่แสดงว่าได้โอนเงินจำนวน 300,000 บาทไปลงทุนแล้ว จึงหลงเชื่อและโอนเงินเพื่อให้ครบยอด 600,000 บาทตามที่นายเอกกล่าวอ้างว่าจะทำกำไรได้ถึง 400,000 บาทและจะแบ่งกัน
  • ครั้งที่ 2: หลังการโอนครั้งแรกไม่นาน นายเอกได้ติดต่อผู้เสียหายอีกครั้งและแจ้งว่าการลงทุนดังกล่าวได้รับผลกำไรอย่างสูงถึง 3 ล้านบาท แต่ผู้เสียหายจะต้องจ่ายค่าภาษีเงินได้ก่อน โดยแบ่งเป็นภาษีส่วนที่นายเอกออกเองครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งขอให้ผู้เสียหายช่วยออก จึงขอให้ผู้เสียหายโอนเงินเพิ่มอีก 300,000 บาท โดยเงินก้อนนี้ถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยาในชื่อ “Suphachok Junthima” หลังจากโอนเสร็จ นายเอกยังคงแสดงความเชื่อมั่นและสนับสนุนให้ผู้เสียหายรอการถอนเงินกำไรที่ได้กลับมา
  • ครั้งที่ 3: หลังจากนั้นไม่นาน นายเอกอ้างว่าแพลตฟอร์มเกิดความผิดพลาดในการคำนวณภาษีเงินได้และมีการเรียกเก็บเพิ่มเติมอีก 53,000 บาท โดยนายเอกทำให้ผู้เสียหายเชื่อว่าจะต้องชำระยอดนี้เพื่อรักษาเงินกำไรของตนที่รอถอน ผู้เสียหายจึงโอนเงิน 53,000 บาทนี้ไปยังบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ของนาย “สุทัศน์ เพ็ชรกลับ”
  • ครั้งที่ 4: การโอนเงินก้อนที่ 4 เกิดขึ้นหลังจากนายเอกสร้างความกลัวให้กับผู้เสียหายโดยแจ้งว่าทางแพลตฟอร์มพบความเกี่ยวข้องระหว่างบัญชีของผู้เสียหายกับคดีฟอกเงิน ซึ่งเป็นเหตุให้ไม่สามารถถอนเงินได้และจะต้องแก้ไขโดยการโอนเงินเข้าไปให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ หากไม่โอนจะต้องสูญเสียเงินที่ลงทุนมาทั้งหมดไป ผู้เสียหายด้วยความตกใจกลัวทั้งคดีฟอกเงินและกลัวทั้งจะเสียเงินที่ได้ลงทุนไปทั้งหมด จึงรีบโอนเงินจำนวน 400,000 บาทไปยังบัญชีธนาคารออมสินในชื่อของ “น.ส.นันทกานต์ ม่วงขุนทด”
  • ครั้งที่ 5: ในขั้นสุดท้าย นายเอกอ้างว่าระบบยังคงสงสัยว่าผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงอื่น ๆ และเพื่อที่จะสามารถถอนเงินที่ได้จากการลงทุน ผู้เสียหายต้องโอนเงินเพิ่มอีก 230,000 บาท เพื่อเป็นการตรวจสอบพร้อมยืนยันตัวตน โดยนายเอกได้เน้นย้ำว่าจะเป็นการโอนครั้งสุดท้ายและผู้เสียหายจะสามารถถอนเงินที่ได้รับกำไรทั้งหมดออกมาได้ ผู้เสียหายด้วยความกังวลว่าจะไม่ได้เงินคืนจึงหลงเชื่อและโอนเงินจำนวนนี้ไปยังบัญชีธนาคารทหารไทยธนชาติในชื่อของ “นายนันธวุฒิ จันโทวาท”

หลังจากที่ผู้เสียหายโอนเงินทั้ง 5 ครั้งรวมเป็นจำนวน 1,278,020 บาทแล้ว ก็ไม่สามารถติดต่อกับนายเอกหรือแพลตฟอร์มการลงทุนดังกล่าวได้อีก ผู้เสียหายจึงเริ่มรู้ตัวว่าถูกหลอกและได้ทำการแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.เมืองปทุมธานี เพื่อติดตามหาผู้กระทำผิด

ผู้เสียหายถูกหลอกให้โอนเงินตามกลอุบายหลอกลวงในการลงทุนปลอมซึ่งใช้อุบายอันซับซ้อนและการสร้างความเชื่อใจ เพื่อทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อในการลงทุน ผลจากการกระทำนี้ทำให้ผู้เสียหายเสียหายทางการเงินเป็นจำนวนถึง 1,278,020 บาท